Skip to content
Home » บทความ » Fluoxetine (ฟลูอ็อกซิทีน) กลไก การใช้ และสิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ยา

Fluoxetine (ฟลูอ็อกซิทีน) กลไก การใช้ และสิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ยา

ความเครียด ความกดดัน และความวิตกกังวลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ปัญหาสุขภาพจิตจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หนึ่งในยาที่แพทย์จิตเวชใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อรักษาโรคซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์ต่าง ๆ คือ Fluoxetine ซึ่งถือเป็นยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRI ที่มีชื่อเสียงและถูกใช้อย่างต่อเนื่องทั่วโลก ด้วยประสิทธิภาพในการช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Fluoxetine ไม่ได้มีดีเพียงแค่ช่วยลดอาการซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้รักษาโรคอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ภาวะตื่นตระหนก (Panic Disorder) ภาวะกลัวสังคม (Social Anxiety) รวมถึงโรคการกินผิดปกติอย่างบูลิเมีย (Bulimia Nervosa) ยานี้จึงกลายเป็นหนึ่งในยาที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวงการจิตเวช และเป็นที่รู้จักในชื่อทางการค้าว่า Prozac ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลก

Fluoxetine จัดอยู่ในกลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) หรือยาต้านซึมเศร้า ที่ออกฤทธิ์โดยการ “ยับยั้งการดูดกลับของสารเซโรโทนิน (Serotonin Reuptake)” ในสมอง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ระดับเซโรโทนินในช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น

สาร เซโรโทนิน (5-HT) มีบทบาทหลักในการควบคุมอารมณ์ การนอนหลับ ความอยากอาหาร และความรู้สึกพึงพอใจ เมื่อระดับของเซโรโทนินลดต่ำลง ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต ยา ฟลูอ็อกซิทีน จะเข้าไปยับยั้งตัวรับที่ดูดกลับเซโรโทนินบริเวณปลายประสาท ทำให้สารนี้อยู่ในสมองนานขึ้น และส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทได้ดีขึ้น ส่งผลให้สมองกลับมาทำงานในสมดุลที่เหมาะสมมากขึ้น

นอกจากนี้ ฟลูอ็อกซิทีน ยังมีผลกระทบทางอ้อมต่อระบบ โดปามีน (Dopamine) และ นอร์อะดรีนาลีน (Norepinephrine) ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มพลังงาน ความกระตือรือร้น และสมาธิของผู้ใช้ยา จึงไม่น่าแปลกใจที่ยานี้จะได้รับความนิยมในผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้าร่วมกับอาการเหนื่อยล้า หรือรู้สึกหมดแรงทางจิตใจ

หลังจากรับประทาน Fluoxetine ยาจะถูกดูดซึมได้ดีทางระบบทางเดินอาหาร โดยมีค่าชีวปริมาณออกฤทธิ์ (bioavailability) สูงกว่า 70% และจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ ทำให้ระดับยาในเลือดคงที่และออกฤทธิ์ได้นาน ยาจะถูกเปลี่ยนแปลงในตับเป็น Norfluoxetine ซึ่งยังคงมีฤทธิ์ต้านซึมเศร้าเช่นเดียวกัน ทำให้ระยะเวลาออกฤทธิ์ของยาโดยรวมยาวนานถึง 2–3 สัปดาห์หลังหยุดยา

นั่นหมายความว่า หากผู้ป่วยลืมรับประทานยาเพียงวันเดียว จะไม่ทำให้ระดับยาในเลือดลดลงจนส่งผลต่ออาการ ซึ่งถือเป็นข้อดีของยาในกลุ่มนี้เมื่อเทียบกับยาต้านซึมเศร้าบางชนิดที่ออกฤทธิ์สั้นกว่า

แม้ว่า ฟลูอ็อกซิทีน จะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรักษาโรคซึมเศร้าในตอนแรก แต่ปัจจุบันยานี้มีการใช้ในหลายภาวะทางจิตเวช เช่น

  1. โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder)
    ยานี้ช่วยปรับสมดุลสารเซโรโทนิน ทำให้อารมณ์ดีขึ้น ลดอาการเศร้า เบื่อหน่าย และช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต
  2. โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder: OCD)
    ฟลูอ็อกซิทีน ช่วยลดความถี่ของความคิดย้ำ ๆ และลดพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมได้
  3. ภาวะตื่นตระหนก (Panic Disorder)
    ยานี้ช่วยลดความรู้สึกกลัวหรือหวาดระแวงที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน รวมถึงอาการหัวใจเต้นแรง เหงื่อออก หรือหายใจถี่
  4. โรคกลัวสังคม (Social Phobia)
    ฟลูอ็อกซิทีน มีผลดีในการปรับอารมณ์และลดความวิตกกังวลเมื่ออยู่ในสถานการณ์ทางสังคม
  5. โรคการกินผิดปกติ (Bulimia Nervosa)
    มีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า ยานี้ช่วยลดพฤติกรรมการกินเกินและการอาเจียนออกหลังการกินได้อย่างมีนัยสำคัญ
  6. ภาวะอารมณ์แปรปรวนก่อนมีประจำเดือน (PMDD)
    ฟลูอ็อกซิทีน ช่วยลดความหงุดหงิด ซึมเศร้า และความกังวลในช่วงก่อนมีประจำเดือน

แพทย์จะเป็นผู้กำหนดขนาดยา Fluoxetine ตามภาวะของผู้ป่วย โดยทั่วไปเริ่มต้นที่ขนาด 10–20 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทานในตอนเช้าเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนการนอนหลับ หากผู้ป่วยตอบสนองดี อาจปรับเพิ่มทีละขั้นจนถึงขนาดสูงสุด 60 มิลลิกรัมต่อวัน

สิ่งสำคัญคือต้อง รับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ และห้ามหยุดยาเอง เพราะอาจทำให้เกิดอาการถอนยา เช่น วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว อารมณ์แปรปรวน หรือรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตในสมอง (brain zaps)

เช่นเดียวกับยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม SSRIs อื่น ๆ ฟลูอ็อกซิทีน อาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น

  • คลื่นไส้ ปากแห้ง หรือเบื่ออาหาร
  • นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หรือฝันร้าย
  • ปวดหัว เวียนศีรษะ
  • เหงื่อออกมากกว่าปกติ
  • สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • ในบางรายอาจมีน้ำหนักลด

อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นเมื่อใช้ยาไปประมาณ 1–2 สัปดาห์ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้นควรปรึกษาแพทย์

  1. ไม่ควรใช้ร่วมกับยากลุ่ม MAOIs เพราะอาจเกิดอาการ Serotonin Syndrome ซึ่งเป็นภาวะอันตรายถึงชีวิต
  2. ไม่ควรหยุดยาโดยทันที เพราะอาจทำให้เกิดอาการถอนยาได้
  3. ควรแจ้งแพทย์หากตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากยาอาจผ่านเข้าสู่ทารกได้
  4. ผู้สูงอายุและผู้ป่วยตับหรือไตบกพร่อง ควรใช้ยาในขนาดต่ำกว่าปกติ

ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อ ฟลูอ็อกซิทีน แม้ใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรมที่ส่งผลต่อเอนไซม์ CYP2D6 ในตับที่ทำหน้าที่เผาผลาญยา หรือมีระดับสารเคมีในสมองที่ซับซ้อนกว่าเพียงเซโรโทนิน ดังนั้นหากใช้ยาเกิน 6–8 สัปดาห์แล้วยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนยาไปใช้ SSRIs ตัวอื่น หรือเพิ่มยาเสริม เช่น Bupropion หรือ Mirtazapine

แม้ว่ายาจะช่วยปรับสมดุลของสมอง แต่ การรักษาภาวะซึมเศร้าที่ได้ผลดีที่สุดมักต้องใช้ร่วมกับจิตบำบัด เช่น

  • Cognitive Behavioral Therapy (CBT) เพื่อปรับความคิดด้านลบ
  • Mindfulness เพื่อฝึกการตระหนักรู้และควบคุมอารมณ์
  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินตามธรรมชาติ

เมื่อใช้ยา ฟลูอ็อกซิทีน ร่วมกับการบำบัดทางจิตใจอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยมักฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำในอนาคต

ฟลูอ็อกซิทีน มีระยะเวลาการสลายตัวในร่างกายค่อนข้างนาน จึงทำให้เกิดอาการถอนยาน้อยกว่ายา SSRIs ตัวอื่น แต่ยังจำเป็นต้องลดขนาดยาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น จาก 20 มก. เหลือ 10 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 2–4 สัปดาห์ เพื่อให้สมองปรับตัวและลดความเสี่ยงต่ออาการไม่พึงประสงค์

เป็นยาต้านซึมเศร้าที่มีประสิทธิภาพสูงในกลุ่ม SSRIs โดยออกฤทธิ์ผ่านการยับยั้งการดูดกลับของเซโรโทนิน ทำให้สมองกลับมาสมดุลและช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ยานี้เหมาะกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ และภาวะวิตกกังวลต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว

📌 สรุปจุดเด่นของ ฟลูอ็อกซิทีน:

  • เพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง
  • ช่วยให้อารมณ์ดี ลดความเศร้าและวิตกกังวล
  • ออกฤทธิ์ยาวนาน เหมาะกับการใช้ระยะยาว
  • ใช้รักษาได้หลายภาวะทางจิตใจ
  • ต้องใช้ต่อเนื่องและปรับยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น