Skip to content
Home » บทความ » Escitalopram (เอสซิตาโลแพรม)

Escitalopram (เอสซิตาโลแพรม)

การดูแลสุขภาพจิตกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจมากขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากงาน ชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์ หรือปัจจัยทางชีววิทยา ล้วนสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือความผิดปกติทางอารมณ์ต่าง ๆ ได้ หนึ่งในยาที่ถูกใช้มากที่สุดในการรักษาภาวะเหล่านี้คือ “ยากลุ่ม SSRI” ซึ่งถือเป็นยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะต่อสารสื่อประสาทในสมอง และมีประสิทธิภาพในการรักษาโดยมีผลข้างเคียงต่ำกว่าเดิม ยาในกลุ่มนี้ที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่องคือ Escitalopram ซึ่งเป็นยาที่แพทย์จิตเวชทั่วโลกเลือกใช้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย การตอบสนองที่ดี และมีงานวิจัยรองรับมากมายว่ามีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลชนิดต่าง ๆ

ยา Escitalopram มีประสิทธิภาพ ความเหมาะสมในการใช้งาน และข้อมูลสำคัญที่ผู้ใช้ควรทราบ ทั้งในแง่ของผลการรักษา ผลข้างเคียง ข้อควรระวัง การหยุดยา รวมถึงความแตกต่างจากยากลุ่มอื่นที่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจ นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงบทบาทของยาในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะวิตกกังวลเรื้อรัง เช่น GAD และ Panic disorder ซึ่งเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นในผู้ใหญ่ยุคใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานหนักหรือยืนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดันสูง

กลไกการทำงานของ Escitalopram คือเพิ่มระดับ Serotonin ในสมองจึงช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับยา SSRI อื่น ๆ เช่น Fluoxetine, Sertraline และ Paroxetine โดยเน้นให้เห็นถึงความแตกต่างด้านความแรงของฤทธิ์ ความทนต่อยา และการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่มักถูกมองข้ามในบทความทั่วไป นอกจากนี้ยังมีการระบุข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาในระยะยาว ความเสี่ยงของอาการถอนยา และข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาอื่นร่วมด้วย

เอสซิตาโลแพรม เป็นยากลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRI) ที่ช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินในสมองเพื่อปรับสมดุลอารมณ์ ลดความวิตกกังวล และช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เป็นยาที่ถูกพัฒนามาเพื่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่ายาในรุ่นเก่า เช่น TCA หรือ MAOI และเป็นหนึ่งในยาที่ได้รับการแนะนำในแนวทางการรักษาระดับสากลสำหรับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล

กลไกหลักคือการ “ยับยั้งการดูดกลับของสารเซโรโทนิน” ที่ปลายประสาท ทำให้ระดับสารนี้สูงขึ้นในช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาท เมื่อเซโรโทนินมากขึ้น ตัวรับในสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์จะถูกกระตุ้นมากขึ้น ส่งผลให้อารมณ์สงบลง รู้สึกผ่อนคลาย ลดความคิดด้านลบ และช่วยให้นอนดีขึ้น

สิ่งที่ทำให้ยานี้มีความโดดเด่นคือ “ความจำเพาะ” ต่อเซโรโทนินที่สูงมาก ทำให้ผลข้างเคียงด้านความง่วง ปากแห้ง ความดันต่ำ หรือผลต่อหัวใจเกิดขึ้นได้น้อยกว่ายารุ่นก่อน

เอสซิตาโลแพรม ถูกใช้สำหรับภาวะต่อไปนี้:

  • โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder)
  • โรควิตกกังวลทั่วไป (GAD)
  • โรคตื่นตระหนก (Panic disorder)
  • โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)
  • Social anxiety disorder
  • อาการร้อนวูบวาบในหญิงวัยหมดประจำเดือน (บางกรณี)

งานวิจัยหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า:

  • ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อย่างมีนัยสำคัญภายใน 2–6 สัปดาห์
  • ผู้ป่วย 60–70% มีการตอบสนองที่ดี
  • มีอัตราการหยุดยาเนื่องจากผลข้างเคียงต่ำกว่า SSRI อื่น
  • มีประสิทธิภาพเทียบเท่าถึงดีกว่า Sertraline และ Fluoxetine ในบางกลุ่มอาการโดยเฉพาะความวิตกกังวล

ผลข้างเคียงที่พบได้บ้าง แต่ไม่รุนแรง ได้แก่:

  • คลื่นไส้
  • ปวดหัว
  • นอนไม่หลับหรือหลับมากขึ้น
  • ท้องเสีย
  • ความต้องการทางเพศลดลง
  • น้ำหนักขึ้นเล็กน้อย

ผลข้างเคียงรุนแรง (พบได้น้อยมาก):

  • Serotonin syndrome
  • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (QT prolongation)
  • ภาวะโซเดียมต่ำ
  • รับประทานวันละครั้งในเวลาเดิม
  • ควรเริ่มด้วยขนาดต่ำ เช่น 5–10 มก./วัน
  • หากยังไม่ดีขึ้นอาจปรับเป็น 20 มก./วัน
  • ห้ามหยุดยาเองกะทันหัน (เสี่ยงอาการถอนยา เช่น เวียนหัว ชา คันไฟฟ้าช็อตในหัว)
  • ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 6–12 เดือนหลังอาการดีขึ้น
ยาความง่วงความเสี่ยงต่อหัวใจความเสี่ยงต่ออาการถอนยาออกฤทธิ์แรง
Escitalopramต่ำต่ำปานกลางสูง
Sertralineต่ำต่ำต่ำปานกลาง
Fluoxetineต่ำต่ำต่ำมากต่ำกว่า
Paroxetineสูงต่ำสูงสูง

จากตารางจะเห็นว่า เอสซิตาโลแพรม มีความสมดุลดีทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

เหมาะสำหรับผู้ที่มีลักษณะต่อไปนี้:

  • มีอาการซึมเศร้าระดับน้อยถึงปานกลาง
  • มีอาการวิตกกังวลเรื้อรัง
  • ต้องการยาที่ผลข้างเคียงต่ำ
  • เป็นผู้สูงอายุที่ต้องการยาที่ปลอดภัยต่อหัวใจ
  • ผู้ที่ใช้ยาอื่นหลายชนิด
  • ผู้ที่กำลังใช้ยากลุ่ม MAOI
  • ผู้ที่มีประวัติหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ผู้ดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นประจำ
  • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
  • ผู้สูงอายุที่มีโซเดียมต่ำ

การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์จิตเวชเสมอ

การลดยาควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น:

  • ลดขนาดลง 25% ทุก 2–4 สัปดาห์
  • ติดตามอาการอย่างน้อยเดือนละครั้ง
  • หากมีอาการถอนยา ให้กลับไปขนาดเดิมก่อนค่อยลดใหม่

1. เอสซิตาโลแพรม อันตรายไหม?

โดยทั่วไปไม่อันตราย หากใช้ถูกวิธี

2. ใช้เวลาเท่าไรถึงจะเห็นผล?

ประมาณ 2–6 สัปดาห์

3. ใช้แล้วติดยาไหม?

ไม่ใช่ยาที่ทำให้เสพติด แต่หยุดทันทีอาจเกิดอาการถอนยาได้

4. ใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์ได้หรือไม่?

ไม่แนะนำ ทำให้ผลข้างเคียงรุนแรงขึ้น

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Escitalopram ได้รับการพิสูจน์จากงานวิจัยทั่วโลกว่าเป็นยาที่มีความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและผลข้างเคียงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการการรักษาระยะยาว และผู้ที่มีอาการวิตกกังวลร่วมกับภาวะซึมเศร้า ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถทนต่อยาได้ดี อาการดีขึ้นชัดเจน และกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

นอกจากนี้การใช้ยานี้ร่วมกับการทำจิตบำบัดหรือการปรับพฤติกรรม ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้อาการทุเลาได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ถือเป็นหนึ่งในแนวทางที่องค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตเวชหลายประเทศแนะนำอย่างเป็นทางการ

ในภาพรวม เอสซิตาโลแพรม ถือเป็นหนึ่งในยาที่ปลอดภัยที่สุด ใช้ง่ายที่สุด และมีงานวิจัยรองรับมากที่สุดในกลุ่ม SSRI ทั้งหมด จึงไม่น่าแปลกใจที่จะถูกใช้แพร่หลายในทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล หรือมีปัญหาทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก

หากมีความสงสัยเกี่ยวกับอาการที่เป็นอยู่ สามารถปรึกษาเภสัชกรได้โดยตรงพร้อมสั่งยารักษา โดยแอดไลน์ @733khpqc หรือ Scan QR CODE โดยกดลิงค์ที่ข้อความนี้ได้เลยค่ะ