Skip to content
Home » บทความ » Clonazepam (โคลนาซีแพม) ยาคลายกังวล

Clonazepam (โคลนาซีแพม) ยาคลายกังวล

ความเครียดจากการทำงาน ปัญหาชีวิต ความกดดันทางอารมณ์ และการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็ว ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล ภาวะตื่นตระหนก นอนไม่หลับ และอาการชักจากระบบประสาท กลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากขึ้น ยากลุ่มที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ หนึ่งในกลุ่มยาที่ถูกพูดถึงบ่อยคือยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดความตื่นตัวของสมอง ทำให้ร่างกายและจิตใจกลับสู่สภาวะสงบได้ง่ายขึ้น

ในทางคลินิก clonazepam เป็นหนึ่งในยากลุ่มนี้ที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในด้านจิตเวชและด้านประสาทวิทยา ยานี้ถูกใช้ในการรักษาทั้งภาวะวิตกกังวล อาการแพนิค ความผิดปกติของการนอนหลับ รวมถึงการควบคุมอาการชักบางชนิด โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมเป็นรายบุคคล เนื่องจากยาออกฤทธิ์โดยตรงต่อสมองและระบบประสาทส่วนกลาง

ในแง่ของการทำงาน clonazepam จัดเป็นยาที่ออกฤทธิ์ค่อนข้างแรงและมีระยะเวลาออกฤทธิ์ยาวเมื่อเทียบกับยาคลายกังวลบางตัว จึงสามารถควบคุมอาการได้ต่อเนื่องยาวนาน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะหากใช้ไม่ถูกต้อง หรือใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะพึ่งพิงยา ผลข้างเคียงต่อระบบประสาท และปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ได้

โคลนาซีแพม เป็นยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน (benzodiazepine) ที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดผลคลายกังวล ลดอาการตื่นตระหนก คลายกล้ามเนื้อ และยับยั้งการชัก ยานี้ถูกใช้ในเวชปฏิบัติทั้งในผู้ป่วยด้านจิตเวชและผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะโรคลมชักบางชนิด เช่น absence seizure, myoclonic seizure และ Lennox–Gastaut syndrome

ยานี้มีลักษณะเด่นคือออกฤทธิ์ยาวกว่ายาคลายกังวลหลายชนิด จึงช่วยควบคุมอาการได้ต่อเนื่อง และมักถูกเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ต้องการการควบคุมอาการระยะยาว อย่างไรก็ตาม ความแรงและความยาวของฤทธิ์ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด

โคลนาซีแพม เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มเบนโซไดอะซีพีน (benzodiazepines) ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในทางคลินิก ทั้งด้านจิตเวชและระบบประสาท ด้วยคุณสมบัติเด่นในการออกฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system depressant) ทำให้สามารถใช้รักษาโรคได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรควิตกกังวล โรคแพนิค โรคลมชัก ความผิดปกติของการนอนหลับ และความตึงเครียดจากระบบประสาท กลไกการออกฤทธิ์ของยานี้มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องโดยตรงกับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง

หัวใจสำคัญของกลไกการออกฤทธิ์ของ โคลนาซีแพม อยู่ที่การเสริมฤทธิ์ของสารสื่อประสาทยับยั้งหลักของสมองที่ชื่อว่า GABA (gamma-aminobutyric acid) ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่ควบคุมความตื่นตัวของเซลล์ประสาทให้ทำงานอย่างสมดุล หากสมองมีการส่งสัญญาณกระตุ้นมากเกินไป จะนำไปสู่อาการวิตกกังวล อาการตื่นตระหนก นอนไม่หลับ กล้ามเนื้อเกร็ง หรือแม้แต่การชักจากไฟฟ้าสมองที่ผิดปกติ ดังนั้น GABA จึงมีบทบาทสำคัญในการ “เบรก” การทำงานของระบบประสาท

เมื่อ โคลนาซีแพม ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและผ่านเข้าสู่สมอง ยาจะไปออกฤทธิ์จับกับตัวรับชนิดหนึ่งที่เรียกว่า GABA-A receptor ซึ่งเป็น receptor แบบ ligand-gated chloride channel ตัวรับชนิดนี้จะอยู่กระจายอยู่ทั่วสมองและไขสันหลัง โดยเฉพาะบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความกลัว ความตื่นตัว และการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ

ในภาวะปกติ GABA จะจับกับ GABA-A receptor และทำให้ช่องคลอไรด์ (Cl⁻ channel) เปิด ส่งผลให้ไอออนคลอไรด์ไหลเข้าสู่เซลล์ประสาท ทำให้ภายในเซลล์มีประจุลบมากขึ้น เกิดภาวะที่เรียกว่า hyperpolarization ซึ่งส่งผลให้เซลล์ประสาทยิงสัญญาณไฟฟ้าได้ยากลง นี่คือกลไกพื้นฐานของการยับยั้งการทำงานของสมองตามธรรมชาติของร่างกาย

แต่เมื่อมี โคลนาซีแพม เข้ามา ยาจะทำหน้าที่เป็น positive allosteric modulator หมายความว่า ยาไม่ไปกระตุ้น receptor โดยตรงเหมือน agonist แต่จะไปเปลี่ยนโครงสร้างของ receptor ให้มีความไวต่อ GABA มากขึ้น ทำให้เมื่อ GABA จับกับ receptor แล้ว ช่องคลอไรด์จะเปิดได้นานขึ้นและบ่อยขึ้น ส่งผลให้มีคลอไรด์ไหลเข้าสู่เซลล์ประสาทมากกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้การยับยั้งสัญญาณประสาทมีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าปกติอย่างชัดเจน

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกลไกระดับเซลล์นี้คือ

  • ลดความตื่นตัวของสมอง
  • ลดการส่งกระแสประสาทที่มากเกินไป
  • ลดการกระตุ้นของวงจรประสาทที่เกี่ยวข้องกับความกลัวและความวิตกกังวล
  • ลดการยิงสัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปกติซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการชัก
  • ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว

จากกลไกนี้เองจึงอธิบายได้ว่าเหตุใด โคลนาซีแพม จึงสามารถออกฤทธิ์ได้ครอบคลุมทั้งด้านจิตใจและด้านการเคลื่อนไหวของร่างกายในเวลาเดียวกัน

อาการวิตกกังวลและแพนิคเกิดจากการทำงานที่มากเกินไปของสมองส่วน limbic system โดยเฉพาะ amygdala ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมอารมณ์ความกลัว เมื่อสมองส่วนนี้ทำงานไวเกินไป ผู้ป่วยจะเกิดอาการใจสั่น หายใจเร็ว เหงื่อออก มือสั่น และเกิดความกลัวอย่างรุนแรงโดยไม่พบเหตุผลที่ชัดเจน

โคลนาซีแพม จะเข้าไปลดการทำงานของวงจรประสาทในบริเวณนี้ผ่านการเพิ่มการออกฤทธิ์ของ GABA ส่งผลให้ amygdala สงบลง การตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางอารมณ์ลดลง ผู้ป่วยจึงรู้สึกผ่อนคลาย ใจสงบ อาการแพนิคลดลงอย่างรวดเร็ว กลไกนี้จึงเป็นเหตุผลที่ยาถูกนำมาใช้ในผู้ป่วยแพนิคที่มีอาการรุนแรงหรือควบคุมยาก

อาการชักเกิดจากการปล่อยกระแสไฟฟ้าของเซลล์ประสาทในสมองอย่างผิดปกติและพร้อมกันเป็นวงกว้าง กลไกของ โคลนาซีแพม จะเข้าไปยับยั้งการยิงสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้ผ่านการเพิ่มฤทธิ์ GABA ทำให้เซลล์ประสาทถูก “กด” ให้อยู่ในสภาวะนิ่งมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดคลื่นไฟฟ้าผิดปกติจึงลดลงอย่างมาก

นอกจากนี้โคลนาซีแพม ยังช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของคลื่นไฟฟ้าชักจากจุดเริ่มต้นไปยังสมองส่วนอื่น จึงมีประโยชน์อย่างมากในโรคลมชักบางชนิดโดยเฉพาะชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของไฟฟ้าสมองแบบทั่วทั้งระบบ

ภาวะกล้ามเนื้อเกร็งหรือกระตุกผิดปกติเกิดจากการที่ระบบประสาทสั่งงานกล้ามเนื้อมากเกินไป โคลนาซีแพม จะเข้าไปกดการส่งสัญญาณจากสมองลงสู่ไขสันหลัง ทำให้การกระตุ้นมอเตอร์นิวรอนลดลง ผลคือกล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ลดอาการกระตุก ลดการหดเกร็ง จึงมีการนำมาใช้ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่วมด้วย

การนอนหลับต้องอาศัยสมดุลของสารสื่อประสาทหลายชนิด โดยเฉพาะการลดการทำงานของระบบกระตุ้น (arousal system) ในสมองส่วน reticular activating system เมื่อโคลนาซีแพม เพิ่มฤทธิ์ของ GABA ระบบกระตุ้นนี้จะถูกกดลง ทำให้ผู้ป่วยง่วงง่าย หลับเร็ว หลับลึกขึ้น และตื่นกลางดึกน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ฤทธิ์ต่อการนอนนี้เป็นผลจากการกดระบบประสาทโดยตรง ไม่ใช่การปรับวงจรการนอนตามธรรมชาติ จึงไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นยานอนหลับระยะยาว

โคลนาซีแพม มีการดูดซึมดีทางเดินอาหารและผ่านเข้าสู่สมองได้ง่ายเนื่องจากมีความสามารถในการละลายในไขมันสูง หลังจากรับประทานประมาณ 1–4 ชั่วโมงจะเริ่มออกฤทธิ์ ระดับยาในเลือดจะคงอยู่ได้นานเนื่องจากมีค่าครึ่งชีวิต (half-life) ยาวประมาณ 30–40 ชั่วโมง ทำให้สามารถควบคุมอาการได้ต่อเนื่องยาวนานตลอดวัน

ยาถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับโดยเอนไซม์ในระบบ cytochrome P450 และถูกขับออกทางไตเป็นหลัก ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อระยะเวลาออกฤทธิ์และการสะสมของยาในร่างกาย หากผู้ป่วยมีโรคตับหรือโรคไต ยาอาจออกฤทธิ์แรงและนานกว่าปกติ

เมื่อโคลนาซีแพม ถูกใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน สมองจะเกิดการปรับตัวเพื่อต่อต้านการกดของยา โดยลดจำนวนหรือความไวของ GABA receptor ลงในระยะยาว ส่งผลให้เมื่อหยุดยาอย่างกะทันหัน ระบบ GABA ที่เคยถูกเสริมฤทธิ์จะทำงานต่ำกว่าปกติ ขณะที่ระบบกระตุ้นกลับทำงานมากกว่าปกติทันที ทำให้เกิดอาการถอนยา เช่น กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ใจสั่น วิตกกังวลรุนแรง และอาจเกิดอาการชักได้ในบางราย

นี่คือเหตุผลสำคัญที่ โคลนาซีแพม ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ และต้องลดขนาดยาแบบค่อยเป็นค่อยไปเสมอ

ยานี้ถูกนำมาใช้ในหลายภาวะ ได้แก่

  • โรควิตกกังวลเรื้อรัง
  • โรคแพนิค (panic disorder)
  • ความผิดปกติของการนอนหลับจากความกังวล
  • โรคลมชักบางชนิด
  • ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกผิดปกติ
  • ใช้ร่วมในการรักษาภาวะถอนแอลกอฮอล์ในบางราย

แพทย์จะพิจารณาจากอาการ ความรุนแรง อายุ น้ำหนักตัว โรคประจำตัว และยาที่ใช้ร่วมอยู่ก่อนแล้วเสมอ

การใช้ โคลนาซีแพม จะกำหนดขนาดยาแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ในการรักษา

  • ผู้ป่วยโรควิตกกังวล มักเริ่มที่ขนาดต่ำ เช่น 0.25–0.5 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้ป่วยโรคลมชัก อาจใช้ขนาดสูงขึ้น และต้องปรับเพิ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • เด็กและผู้สูงอายุ ต้องใช้ขนาดต่ำกว่าปกติ

หลักสำคัญคือ

  • ห้ามเพิ่มขนาดยาเอง
  • ห้ามหยุดยาทันที
  • ต้องปรับลดขนาดยาแบบค่อยเป็นค่อยไปภายใต้คำแนะนำแพทย์

โคลนาซีแพม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น

  • ง่วงซึมมาก
  • เวียนศีรษะ
  • ความจำลดลง
  • เดินเซ
  • สมาธิลดลง
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง

ในบางรายอาจพบผลข้างเคียงที่รุนแรงขึ้น เช่น

  • สับสน
  • กดการหายใจ
  • อารมณ์แปรปรวน
  • เกิดภาวะพึ่งพิงยา

ผู้ที่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่

  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ป่วยโรคตับ
  • ผู้ที่มีภาวะกดการหายใจ
  • ผู้ที่ติดสุราหรือสารเสพติด
  • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

ไม่ควรใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์หรือยากดประสาทชนิดอื่นโดยไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์

ยานี้อาจเกิดปฏิกิริยากับ

  • ยานอนหลับ
  • ยาแก้แพ้ที่ทำให้ง่วง
  • ยาแก้ปวดกลุ่ม opioid
  • แอลกอฮอล์
  • ยาต้านชักบางชนิด

การใช้ร่วมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการกดระบบหายใจอย่างรุนแรง

การใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้สมองปรับตัวและเกิดการพึ่งพิงยา หากหยุดทันทีอาจทำให้เกิดอาการถอนยา เช่น

  • ใจสั่น
  • กระสับกระส่าย
  • นอนไม่หลับ
  • วิตกกังวลรุนแรง
  • ชัก

จึงต้องหยุดยาแบบค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น

เหมาะกับผู้ที่มีอาการวิตกกังวลรุนแรง ผู้ที่มีอาการแพนิคที่ควบคุมได้ยาก ผู้ป่วยโรคลมชักบางชนิด และผู้ที่ต้องการควบคุมอาการทางระบบประสาทในระยะต่อเนื่อง โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับการใช้เองหรือใช้ระยะยาวโดยไม่มีการติดตามอาการ

เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งด้านการคลายกังวลและการยับยั้งอาการชัก ออกฤทธิ์ยาว ควบคุมอาการได้ดี แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังสูง เพราะมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงและการพึ่งพิงยา การใช้ยาที่ถูกต้องภายใต้คำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยต่อผู้ป่วย