Skip to content
Home » บทความ » หนองในเทียม: รู้ทันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนมองข้าม

หนองในเทียม: รู้ทันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนมองข้าม

ในปัจจุบัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ และหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยแต่หลายคนยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้คือ “หนองในเทียม” ซึ่งเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ง่าย และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับหนองในเทียมให้ลึกซึ้ง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย วิธีการรักษา ไปจนถึงการป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างถูกต้อง

หนองในเทียมคืออะไร?

หนองในเทียม หรือในภาษาอังกฤษว่า Chlamydia เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Chlamydia trachomatis ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก โดยไม่ต้องมีการหลั่งอสุจิก็สามารถแพร่เชื้อได้

แม้ชื่อ “หนองในเทียม” อาจฟังดูคล้ายกับ “หนองในแท้” ซึ่งเกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae แต่ความจริงแล้วทั้งสองโรคนี้เกิดจากเชื้อคนละชนิดและมีลักษณะทางคลินิกที่แตกต่างกัน การใช้คำว่า “เทียม” จึงหมายถึงความคล้ายคลึงของอาการ เช่น มีหนอง หรือการขับสารคัดหลั่งออกจากอวัยวะเพศ แต่ไม่ได้เกิดจากเชื้อชนิดเดียวกันกับหนองในแท้


สาเหตุของหนองในเทียม

สาเหตุของหนองในเทียมมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านกิจกรรมทางเพศที่ไม่ป้องกัน รวมถึง:

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • การมีคู่นอนหลายคน
  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการ
  • การคลอดทางช่องคลอดจากแม่ที่ติดเชื้อไปสู่ทารก

เชื้อนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในเนื้อเยื่อของระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะในปากมดลูก ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก และดวงตา


อาการของหนองในเทียม

หนองในเทียมมักไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก โดยประมาณ 70-80% ของผู้หญิงและ 50% ของผู้ชายที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การวินิจฉัยล่าช้าและเกิดการแพร่เชื้อต่อไปโดยไม่รู้ตัว

อาการในผู้หญิง

  • ตกขาวผิดปกติ มีสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น
  • ปวดท้องน้อย โดยเฉพาะช่วงมีเพศสัมพันธ์
  • ปัสสาวะแสบขัด
  • มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์
  • คันหรือระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ

อาการในผู้ชาย

  • มีหนองหรือสารคัดหลั่งออกจากปลายอวัยวะเพศ
  • ปัสสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะบ่อย
  • ปวดหรือบวมที่อัณฑะ
  • มีอาการปวดบริเวณทวารหนัก หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก

การวินิจฉัยโรคหนองในเทียม

การวินิจฉัยโรคหนองในเทียมสามารถทำได้โดยการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศหรือปัสสาวะไปตรวจหาเชื้อ โดยวิธีที่นิยมใช้ ได้แก่:

  • NAAT (Nucleic Acid Amplification Test): วิธีตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ Chlamydia trachomatis เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูง
  • Culture: การเพาะเชื้อ ซึ่งใช้เวลานานและไม่นิยมใช้ในการตรวจเบื้องต้น
  • Rapid test: การตรวจแบบเร่งด่วน แม้สะดวกแต่ความแม่นยำต่ำกว่าวิธี NAAT

ในบางกรณี แพทย์อาจตรวจพร้อมกับโรคอื่นๆ เช่น หนองในแท้ ซิฟิลิส หรือ HIV เนื่องจากมีความเสี่ยงในการติดร่วมกัน


การรักษาหนองในเทียม

หนองในเทียมสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งต้องรับการสั่งจ่ายโดยแพทย์ และควรรับประทานจนครบตามคำแนะนำ

ยาที่ใช้รักษา

  • Doxycycline: รับประทานวันละ 2 ครั้ง นาน 7 วัน
  • Azithromycin: รับประทานเพียงครั้งเดียว 1 กรัม (สำหรับบางกรณี)
  • Erythromycin หรือ Ofloxacin: สำหรับผู้ที่แพ้ยาหลัก

ข้อสำคัญ: ผู้ป่วยควรงดมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษา และควรให้คู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษาพร้อมกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ


ภาวะแทรกซ้อนจากหนองในเทียม

หากไม่ได้รับการรักษา หนองในเทียมอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้หญิง เช่น:

ในผู้หญิง

  • โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID)
  • ภาวะมีบุตรยากจากท่อนำไข่อุดตัน
  • ตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • การคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์

ในผู้ชาย

  • อัณฑะอักเสบ (Epididymitis)
  • ภาวะมีบุตรยากจากท่อนำอสุจิอุดตัน
  • การอักเสบของต่อมลูกหมาก

หนองในเทียมกับการตั้งครรภ์

หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อหนองในเทียมมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือติดเชื้อสู่ทารกในครรภ์ ทารกที่ติดเชื้ออาจมีภาวะปอดอักเสบ หรือตาอักเสบรุนแรงจนตาบอดได้ จึงแนะนำให้ตรวจหาเชื้อหนองในเทียมในช่วงฝากครรภ์


วิธีป้องกันหนองในเทียม

1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง

เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงหนองในเทียม

2. มีคู่นอนคนเดียว

ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากคู่นอนที่มีการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว

3. ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ

โดยเฉพาะผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีความเสี่ยง

4. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีอาการผิดปกติ

เช่น มีตกขาว หนอง หรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์


หนองในเทียมกับการใช้ชีวิต

การเป็นโรคหนองในเทียมไม่ใช่เรื่องน่าอาย สิ่งสำคัญคือต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือสงสัยว่าติดเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาให้หายโดยเร็ว


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหนองในเทียม

Q: หนองในเทียมติดจากอะไรได้บ้าง?

A: หนองในเทียมติดได้จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ

Q: หนองในเทียมหายเองได้ไหม?

A: ไม่หายเอง จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์

Q: หนองในเทียมมีผลต่อการมีบุตรหรือไม่?

A: มี หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้ในทั้งชายและหญิง

Q: หนองในเทียมต่างจากหนองในแท้อย่างไร?

A: ต่างกันที่เชื้อโรค หนองในแท้เกิดจาก Neisseria gonorrhoeae ส่วนหนองในเทียมเกิดจาก Chlamydia trachomatis

Q: หนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงหรือไม่?

A: หนองในเทียมจัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ที่พบได้บ่อย แต่ในแง่ของความรุนแรงนั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ปล่อยไว้โดยไม่รักษา หากตรวจพบเร็วและรักษาอย่างถูกต้อง หนองในเทียมมักจะหายได้โดยไม่มีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าปล่อยไว้นานอาจส่งผลให้เกิดโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ ภาวะมีบุตรยาก หรือการติดเชื้อกระจายได้

Q: หนองในเทียมสามารถป้องกันได้อย่างไรบ้าง?

A: การป้องกันหนองในเทียมสามารถทำได้หลายวิธี เช่น:

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก
  • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
  • ตรวจคัดกรองโรคทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
  • พูดคุยเปิดใจกับคู่นอนเกี่ยวกับประวัติสุขภาพทางเพศ

การสร้างพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัยเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันหนองในเทียม

Q: หากไม่มีอาการ หนองในเทียมจะยังสามารถแพร่เชื้อได้หรือไม่?

A: ได้ หนองในเทียมสามารถแพร่เชื้อได้แม้ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการใดๆ เลย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โรคนี้แพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง การไม่มีอาการไม่ได้หมายความว่าไม่มีเชื้อ ดังนั้นผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นระยะ

Q: หนองในเทียมสามารถรักษาด้วยวิธีธรรมชาติได้หรือไม่?

A: ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รองรับว่าวิธีธรรมชาติ เช่น การกินสมุนไพร การล้างภายในด้วยน้ำเกลือ หรือวิธีการพื้นบ้านอื่นๆ สามารถรักษาหนองในเทียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งจึงเป็นวิธีเดียวที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างแน่นอน หากละเลยการรักษา อาจทำให้เชื้อดื้อยา และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

Q: หากเคยเป็นหนองในเทียมแล้ว จะติดซ้ำได้หรือไม่?

A: ใช่ คุณสามารถติดหนองในเทียมซ้ำได้ หากกลับไปมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย แม้เคยรักษาหายแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ ดังนั้นการป้องกันอย่างต่อเนื่องจึงมีความสำคัญมาก


หนองในเทียมเป็นโรคที่พบบ่อยในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และแม้จะไม่แสดงอาการในผู้ป่วยส่วนใหญ่ แต่สามารถก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษา การตรวจคัดกรองเป็นประจำ การป้องกันอย่างถูกวิธี และการรักษาทันทีเมื่อมีอาการหรือตรวจพบเชื้อ คือแนวทางที่ดีที่สุดในการลดการแพร่ระบาดของหนองในเทียม สุขภาพทางเพศคือสิ่งสำคัญ และการรู้เท่าทันคือก้าวแรกของการดูแลตัวเองอย่างมีคุณภาพ