
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นหนึ่งในปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย โรคเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อจิตใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก หนึ่งในโรคที่อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่สามารถสร้างความเจ็บปวดและความเข้าใจผิดได้ คือ “แผลริมอ่อน” (Chancroid)
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อแต่ไม่รู้ว่าแผลริมอ่อนคืออะไร แตกต่างจากโรคซิฟิลิสหรือเริมอย่างไร และควรดูแลรักษาอย่างไรให้ถูกต้อง บทความนี้จะอธิบายเนื้อหาครอบคลุมทั้งสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถตระหนักรู้ และป้องกันตนเองจากโรคนี้ได้
แผลริมอ่อนคืออะไร?
แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus ducreyi ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ลักษณะเด่นของแผลริมอ่อนคือ การเกิดแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งมีลักษณะ แผลนุ่ม เจ็บ มีหนอง ไม่แข็ง ไม่ตึง ต่างจากแผลริมแข็งในซิฟิลิสที่มักไม่เจ็บและแข็ง
สาเหตุของโรค
เชื้อ Haemophilus ducreyi สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางรอยถลอกหรือบาดแผลเล็กๆ แพร่กระจายได้โดยตรงผ่านทาง การสัมผัสแผลหรือของเหลวจากแผล ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปากเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดแผลเฉพาะที่ (localized infection) และในบางกรณีอาจมีการลามไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่:
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- มีคู่นอนหลายคน
- มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ไม่รักษาความสะอาดอวัยวะเพศ
อาการของแผลริมอ่อน
หลังจากติดเชื้อ จะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-10 วัน แล้วเริ่มแสดงอาการดังนี้:
- แผลที่อวัยวะเพศ
- เริ่มต้นจากตุ่มแดงเล็ก ๆ จากนั้นจะพัฒนาเป็นแผลมีหนอง
- ขอบแผลไม่เรียบ ไม่แข็ง มีอาการเจ็บมาก
- แผลมักมีขนาดตั้งแต่ 0.5-2 เซนติเมตร
- พบได้หลายแผลพร้อมกัน (ต่างจากซิฟิลิสที่มักมีแผลเดียว)
- พบบริเวณปลายองคชาต หนังหุ้มปลายองคชาต ปากช่องคลอด แคมใหญ่ แคมเล็ก หรือทวารหนัก
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวม
- พบได้ในผู้ป่วยประมาณ 30-50%
- อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
- อาจแตกเป็นฝีหนอง หากไม่ได้รับการรักษา
อาการแผลริมอ่อน ในผู้ชาย
- ตุ่มนูนแดงบริเวณอวัยวะเพศ หลังได้รับเชื้อประมาณ 3–10 วัน จะเริ่มปรากฏตุ่มเล็ก ๆ สีแดงหรือตุ่มหนองที่บริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะบริเวณปลายองคชาต หนังหุ้มปลาย หรือโคนองคชาต
- กลายเป็นแผลเจ็บมีหนอง ตุ่มเหล่านั้นจะกลายเป็นแผลเปิด มีขอบแผลนูน ไม่เรียบ และมีหนองสีเหลืองหรือเทาอยู่ภายใน แผลมีลักษณะเจ็บมาก โดยเฉพาะขณะสัมผัสหรือมีเพศสัมพันธ์
- จำนวนแผล อาจมีตั้งแต่แผลเดียวจนถึงหลายแผล และสามารถรวมกันเป็นแผลขนาดใหญ่ได้ หากไม่ได้รับการรักษา
- ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวมโต (Bubo) หนึ่งในอาการที่พบบ่อยคือการที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวม โต เจ็บ และอาจกลายเป็นฝีได้ในภายหลัง บางครั้งต่อมน้ำเหลืองที่บวมอาจแตกออกเป็นแผลที่มีหนองไหล
- อาการอื่น ๆ ร่วม ผู้ป่วยอาจมีไข้ หนาวสั่น หรือรู้สึกไม่สบายตัว หากการติดเชื้อลุกลามมาก

อาการแผลริมอ่อน ในผู้หญิง
- แผลเจ็บที่อวัยวะเพศ อาการเริ่มจากตุ่มแดงเล็ก ๆ ที่บริเวณอวัยวะเพศ เช่น แคมนอก แคมใน ปากช่องคลอด หรือเยื่อบุช่องคลอด จากนั้นตุ่มจะเปลี่ยนเป็นแผลเปิด มีหนอง เจ็บมาก โดยเฉพาะขณะถูกรบกวน เช่น ตอนปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์
- ลักษณะแผลเฉพาะของแผลริมอ่อน แผลมีขอบแผลไม่เรียบ มีฐานแผลสีเหลืองหรือเทา มักเป็นแผลตื้น ขนาดไม่แน่นอน อาจมีแผลเดียวหรือหลายแผล และแผลอาจเชื่อมกันจนเป็นแผลขนาดใหญ่ หากไม่รักษา แผลอาจลุกลามได้
- อาการปวดขณะปัสสาวะ เนื่องจากแผลอยู่บริเวณที่สัมผัสปัสสาวะโดยตรง จึงทำให้ผู้หญิงที่เป็นแผลริมอ่อนมักมีอาการปวดแสบขณะถ่ายปัสสาวะ
- ตกขาวผิดปกติหรือมีกลิ่น บางรายอาจมีตกขาวมากขึ้น มีสี และกลิ่นผิดปกติ หากแผลอยู่ลึกภายในช่องคลอด
- ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบบวมโต เชื้อสามารถแพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ทำให้เกิดอาการบวม แดง และเจ็บ อาจกลายเป็นฝี และแตกออกได้ในบางกรณี
- อาการอื่นร่วม เช่น ไข้ต่ำ ๆ หนาวสั่น อ่อนเพลีย หรือมีผื่นร่วมด้วย หากติดเชื้อในระดับรุนแรง
* ความแตกต่างของอาการในผู้หญิง
ในผู้หญิง แผลริมอ่อนมักถูกมองข้ามหรือตรวจพบได้ยาก เนื่องจากแผลอาจซ่อนอยู่ในช่องคลอดหรือเยื่อบุด้านใน ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นได้จากภายนอก อีกทั้งอาการอาจคล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น เริม หรือแผลจากซิฟิลิส จึงต้องอาศัยการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
แผลริมอ่อนต่างจากโรคอื่นอย่างไร?
✅ แผลริมอ่อน vs ซิฟิลิส:
| ลักษณะ | แผลริมอ่อน | แผลริมแข็ง (ซิฟิลิสระยะแรก) |
|---|---|---|
| เจ็บแผล | เจ็บ | ไม่เจ็บ |
| ความแข็งของแผล | นุ่ม | แข็ง |
| จำนวนแผล | หลายแผล | มักมีแผลเดียว |
| ขอบแผล | ไม่เรียบ | เรียบตึง |
| ลักษณะต่อมน้ำเหลือง | เจ็บ บวมเป็นฝี | มักไม่เจ็บ บวมเล็กน้อย |
✅ แผลริมอ่อน vs เริม:
- เริมจะเริ่มจากตุ่มน้ำเล็ก ๆ แล้วแตกเป็นแผล
- มักมีอาการปวดแสบปวดร้อนนำมาก่อน
- มักหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยแผลริมอ่อนทำได้จาก:
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย
- ตรวจดูลักษณะแผล ตำแหน่ง ความเจ็บ และต่อมน้ำเหลือง
- การเก็บตัวอย่างจากแผล
- ส่งเพาะเชื้อหรือย้อมสีเพื่อตรวจหาเชื้อ Haemophilus ducreyi (แต่ทำได้เฉพาะบางโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือ)
- การตรวจคัดกรองโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย
- เช่น HIV, ซิฟิลิส, หนองใน, เริม
เนื่องจากการตรวจหาเชื้อ Haemophilus ducreyi โดยตรงค่อนข้างยาก จึงมักใช้การวินิจฉัยจากลักษณะแผลและการตอบสนองต่อการรักษาเป็นเกณฑ์ร่วม
การรักษาแผลริมอ่อน
- การใช้ยาปฏิชีวนะ แผลริมอ่อนตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะได้ดี โดยยาที่แนะนำ ได้แก่:
- Azithromycin 1 กรัม รับประทานครั้งเดียว
- Ceftriaxone 250 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว
- Erythromycin 500 มก. วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
- Ciprofloxacin 500 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน
- การรักษาฝีหนองจากต่อมน้ำเหลือง
- หากต่อมน้ำเหลืองโตมากหรือแตกเป็นฝี อาจต้องเจาะระบายหนอง
- แพทย์จะใช้เข็มสะอาดดูดหนองออกเพื่อลดอาการปวด
- งดเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท
- เพื่อลดการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
- ฝีแตก กลายเป็นแผลเรื้อรัง
- แผลติดเชื้อซ้ำซ้อน
- การตีบแคบของหนังหุ้มปลายองคชาตหรือช่องคลอด
- ภาวะมีบุตรยากจากการติดเชื้อเรื้อรัง
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV สูงขึ้น
การป้องกันแผลริมอ่อน
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
- หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- งดเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีแผลหรือมีอาการผิดปกติ
- หากสงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้รีบพบแพทย์โดยเร็ว
แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีลักษณะแผลเจ็บ นุ่ม และมีหนองที่อวัยวะเพศ สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะหากได้รับการวินิจฉัยเร็ว
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การรู้เท่าทันอาการ และไม่อายที่จะพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง การป้องกันยังคงเป็นหัวใจหลัก โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
หากสงสัยว่าตนเองหรือคู่ของคุณอาจติดเชื้อ ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร็วที่สุด หรือสามารถแอดไลน์เพื่อปรึกษาเภสัชกรได้เบื้องต้น