Skip to content
Home » บทความ » Aripiprazole (อะริพิพราโซล) ยาสมดุลสารสื่อประสาท

Aripiprazole (อะริพิพราโซล) ยาสมดุลสารสื่อประสาท

การรักษาโรคทางจิตเวช เช่น โรคจิตเภท (Schizophrenia) โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) หรือภาวะซึมเศร้า (Depression) ได้รับความสนใจอย่างมาก หนึ่งในยาที่มีบทบาทสำคัญและได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ทั่วโลกคือ Aripiprazole ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มยารักษาโรคจิตรุ่นที่สอง (Atypical Antipsychotics) ที่มีความซับซ้อนทางกลไกการออกฤทธิ์และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายารุ่นเก่า

Aripiprazole มีชื่อทางการค้าว่า Abilify หรือ Aripra และเป็นยาที่ได้รับการออกแบบให้ “ปรับสมดุล” ของสารสื่อประสาทในสมองมากกว่าการ “กด” หรือ “เพิ่ม” อย่างสุดโต่งเหมือนยารุ่นก่อน ด้วยคุณสมบัติพิเศษนี้ อะริพิพราโซล จึงมักถูกเรียกว่า “ยาปรับสมดุลโดปามีน” (Dopamine System Stabilizer) และถือเป็นหนึ่งในยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในยุคปัจจุบัน

อะริพิพราโซล ถูกพัฒนาโดยบริษัท Otsuka Pharmaceutical จากประเทศญี่ปุ่น และได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในปี 2002 ยานี้ได้รับการออกแบบให้มีโครงสร้างและกลไกการทำงานที่แตกต่างจากยารักษาโรคจิตรุ่นเก่า (Typical Antipsychotics) อย่าง Chlorpromazine หรือ Haloperidol ซึ่งมักทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางการเคลื่อนไหว เช่น กล้ามเนื้อแข็ง หรือการสั่น (Extrapyramidal Symptoms)

จุดประสงค์ของนักวิจัยคือสร้างยาที่สามารถควบคุมอาการทางจิตได้ดี โดยไม่ส่งผลเสียต่อสมองส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและอารมณ์ ซึ่ง อะริพิพราโซล ก็ทำหน้าที่นั้นได้อย่างลงตัว

กลไกของ Aripiprazole ซับซ้อนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากมันเป็น Partial Agonist หรือ “ตัวกระตุ้นบางส่วน” ที่ตัวรับโดปามีนชนิด D2 และตัวรับเซโรโทนินชนิด 5-HT1A พร้อมทั้งเป็น Antagonist หรือตัวต้านที่ตัวรับ 5-HT2A

พูดง่าย ๆ คือ อะริพิพราโซล ทำหน้าที่ “ปรับสมดุล” ของสารสื่อประสาท ไม่ใช่เพียงการบล็อกหรือกระตุ้นโดยตรง

  • เมื่อระดับ โดปามีน (Dopamine) ในสมอง “สูงเกินไป” เช่นในภาวะโรคจิต อะริพิพราโซล จะ ลดการกระตุ้น เพื่อทำให้สมดุล
  • แต่เมื่อระดับโดปามีน “ต่ำเกินไป” เช่นในภาวะซึมเศร้า มันจะ เพิ่มการกระตุ้นบางส่วน เพื่อช่วยฟื้นฟูอารมณ์

คุณสมบัตินี้ทำให้ อะริพิพราโซล แตกต่างจากยาอื่นที่มักบล็อกโดปามีนอย่างสิ้นเชิง จึงลดผลข้างเคียงเช่นอาการกล้ามเนื้อแข็ง สั่น หรือไม่อยากเคลื่อนไหว (Parkinsonism)

นอกจากนี้ อะริพิพราโซล ยังมีฤทธิ์ต่อระบบ เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในอารมณ์และความวิตกกังวล ส่งผลให้ยานี้มีประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย

อะริพิพราโซล ถูกดูดซึมได้ดีจากระบบทางเดินอาหาร สามารถรับประทานได้ทั้งแบบเม็ดและน้ำ ยานี้มี ชีวประสิทธิผล (Bioavailability) ประมาณ 87% และไม่ถูกทำลายมากในตับก่อนเข้าสู่กระแสเลือด

หลังจากรับประทาน ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 3–5 ชั่วโมง และถึงระดับสูงสุดในเลือดประมาณ 3–4 วัน ครึ่งชีวิตของอะริพิพราโซล ค่อนข้างยาว (ประมาณ 75 ชั่วโมง) หมายความว่า หากลืมรับประทาน 1 วัน ระดับยาในเลือดจะยังคงเพียงพอในร่างกาย

อะริพิพราโซล ถูกเมตาบอไลซ์ที่ตับโดยเอนไซม์ CYP2D6 และ CYP3A4 และถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ การรู้จักกลไกนี้มีความสำคัญต่อการปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีโรคตับหรือใช้ยาอื่นร่วมกัน

อะริพิพราโซล มีการใช้ทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง ครอบคลุมโรคทางจิตเวชและอารมณ์หลายชนิด เช่น

4.1 โรคจิตเภท (Schizophrenia)

เป็นข้อบ่งใช้หลักของ อะริพิพราโซล ยาสามารถช่วยลดอาการหลงผิด ประสาทหลอน และความคิดสับสน โดยไม่ทำให้ผู้ป่วยง่วงหรือเฉื่อยชาเกินไปเหมือนยารุ่นเก่า

4.2 โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)

อะริพิพราโซล ใช้ได้ทั้งในช่วง ภาวะคลั่ง (Mania) และ ภาวะคงที่ (Maintenance phase) เพราะช่วยควบคุมความผันผวนของอารมณ์ได้ดี และลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ

4.3 ภาวะซึมเศร้า (Major Depressive Disorder)

อะริพิพราโซล มักใช้ร่วมกับยาในกลุ่ม SSRIs หรือ SNRIs เพื่อเสริมฤทธิ์ในการบรรเทาอาการซึมเศร้าที่ไม่ตอบสนองต่อยาเดี่ยว

4.4 โรคออทิสติก (Autism Spectrum Disorder)

ในบางกรณี อะริพิพราโซล ใช้เพื่อลดอาการก้าวร้าว หงุดหงิด หรือพฤติกรรมซ้ำ ๆ ในเด็กที่มีภาวะออทิสติก โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์เด็ก

4.5 โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s Disorder)

ยานี้ยังช่วยลดอาการกระตุก (tics) ทั้งทางร่างกายและเสียงในผู้ป่วยทูเร็ตต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่า อะริพิพราโซล จะปลอดภัยกว่ายารักษาโรคจิตรุ่นเก่า แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น

  • คลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือปวดหัว โดยเฉพาะในช่วงเริ่มใช้ยา
  • นอนไม่หลับ หรือกระสับกระส่าย จากฤทธิ์กระตุ้นบางส่วนของโดปามีน
  • น้ำหนักเพิ่ม แต่โดยทั่วไปน้อยกว่ายาในกลุ่ม olanzapine หรือ clozapine
  • ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Orthostatic hypotension)
  • อาการกระสับกระส่าย (Akathisia) ที่เกิดจากสมองพยายามปรับสมดุลโดปามีน
  • ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดสูง ในบางราย

อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักลดลงเมื่อร่างกายปรับตัวได้ในช่วง 1–2 สัปดาห์

  • ห้ามหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดอาการกลับซ้ำ (relapse)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยากล่อมประสาท
  • หากใช้ยาอื่นที่ผ่านระบบ CYP3A4 หรือ CYP2D6 ควรแจ้งแพทย์ เพราะอาจมีปฏิกิริยาระหว่างยา
  • สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตรควรใช้ยาเฉพาะเมื่อจำเป็นจริง ๆ
  • หากมีอาการกระสับกระส่ายมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยา

ผู้ป่วยแต่ละคนตอบสนองต่อ อะริพิพราโซล แตกต่างกัน บางคนเห็นผลภายในไม่กี่วัน ในขณะที่บางรายต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ ระดับของเอนไซม์ในตับ (CYP2D6) มีผลต่อความเข้มข้นของยาในร่างกาย ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าทำไมบางคนจึงต้องการขนาดยาสูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนอง อาจเกิดจากการกลายพันธุ์ของตัวรับโดปามีน หรือความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทอื่น เช่น กลูตาเมต ซึ่งแพทย์อาจต้องปรับสูตรยาให้เหมาะสม

คุณสมบัติAripiprazoleOlanzapineRisperidoneClozapine
ผลข้างเคียงด้านน้ำหนักต่ำสูงปานกลางสูงมาก
อาการง่วงซึมน้อยปานกลางปานกลางสูง
ความเสี่ยง EPS (กล้ามเนื้อแข็ง)ต่ำต่ำปานกลางต่ำ
ใช้ในซึมเศร้าใช้เสริมได้ดีใช้ได้บ้างใช้ได้จำกัด
รูปแบบยาเม็ด, ฉีด, ละลายน้ำเม็ด, ฉีดเม็ด, ฉีดเม็ด

จากตารางจะเห็นว่า Aripiprazole มีความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลการรักษาที่เสถียรโดยมีผลข้างเคียงน้อย

อะริพิพราโซล มีหลายรูปแบบ เช่น

  • ยาเม็ดรับประทาน (tablet)
  • ยาละลายใต้ลิ้น (disintegrating tablet)
  • ยาฉีดออกฤทธิ์ยาว (long-acting injection; LAI) ที่ฉีดทุก 4–6 สัปดาห์

ขนาดยาขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย โดยทั่วไป

  • โรคจิตเภท: 10–30 มก./วัน
  • โรคอารมณ์สองขั้ว: 15–30 มก./วัน
  • ภาวะซึมเศร้าเสริมการรักษา: 2–15 มก./วัน

ในปัจจุบัน Aripiprazole กำลังถูกนำมาศึกษาเพิ่มเติมในด้านต่าง ๆ เช่น

  • การรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ที่ดื้อต่อยา SSRIs
  • การลดอาการเสพติด (Addiction) เพราะมีผลต่อระบบรางวัลของสมอง
  • การบำบัดโรคออทิสติกในผู้ใหญ่ เพื่อปรับสมดุลพฤติกรรมและอารมณ์
  • เทคโนโลยี “Smart Pill” ที่ผสานเซนเซอร์ลงในเม็ดยาเพื่อติดตามการใช้ยาในผู้ป่วยจิตเวชที่ลืมกินยา

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า Aripiprazole ไม่เพียงเป็นยาที่ช่วยรักษาอาการทางจิต แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว

เป็นยารักษาโรคจิตรุ่นใหม่ที่ทำหน้าที่ “ปรับสมดุล” สารสื่อประสาทในสมอง โดยออกฤทธิ์เป็น partial agonist ที่ตัวรับโดปามีน D2 และเซโรโทนิน 5-HT1A และเป็น antagonist ที่ 5-HT2A ทำให้ควบคุมอาการโรคจิตและอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ลดผลข้างเคียงได้มากกว่ายารุ่นเก่า

การใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องภายใต้การดูแลของจิตแพทย์ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีอารมณ์สมดุล และสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมั่นคง