Skip to content
Home » บทความ » ยาแก้แพ้คืออะไร กินทุกวันอันตรายไหม?

ยาแก้แพ้คืออะไร กินทุกวันอันตรายไหม?

ยาแก้แพ้ เป็นยาที่หลายคนคุ้นเคยและมักมีติดบ้านเอาไว้ เนื่องจากสามารถใช้บรรเทาอาการที่เกิดจากการแพ้ เช่น คัน จาม น้ำมูกไหล ผื่นลมพิษ หรือแม้กระทั่งอาการแพ้อากาศ แต่คำถามที่มักถูกตั้งขึ้นบ่อยครั้งคือ ยาแก้แพ้คืออะไร กินทุกวันอันตรายไหม เพราะบางคนใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำโดยไม่ทราบว่าการใช้ต่อเนื่องอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

1. ยาแก้แพ้คืออะไร

ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการที่เกิดจาก สารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ร่างกายปล่อยออกมาเมื่อมีปฏิกิริยาภูมิแพ้หรือการอักเสบ ฮีสตามีนมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น คัน ตาบวม น้ำมูกไหล ผื่นแดง หรือลมพิษ

โดยทั่วไปยาแก้แพ้แบ่งตามกลไกเป็น ยาต้านตัวรับฮีสตามีน (H1 receptor antagonist) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้กันมากที่สุด และยังมีกลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อ H2 receptor (ใช้รักษากรดไหลย้อน) หรือ H3/H4 receptor ที่มีบทบาทในสมองและภูมิคุ้มกัน


2. ประเภทของยาแก้แพ้

ยาแก้แพ้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้

2.1 แบ่งตามชนิดของตัวรับที่ยาต้าน

  • ยาแก้แพ้ชนิด H1 receptor antagonist → ใช้รักษาอาการแพ้ทั่วไป เช่น คัน น้ำมูกไหล ลมพิษ
  • ยาแก้แพ้ชนิด H2 receptor antagonist → ใช้ลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร (เช่น Ranitidine, Famotidine)
  • ยาแก้แพ้ชนิด H3 antagonist → ใช้ในการวิจัยโรคทางสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์
  • ยาแก้แพ้ชนิด H4 antagonist → กำลังอยู่ในงานวิจัยเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน

2.2 แบ่งตามรุ่นของยา

การแบ่งเจนเนอเรชันของ H1-antihistamines เป็นการจำแนกทางคลินิก/เภสัชวิทยา ตามคุณสมบัติด้านการผ่านเข้าโรคระบบประสาทกลาง (CNS), ผลกดประสาท/ง่วง และระดับความจำเพาะต่อ receptor:

  1. First-generation (รุ่นแรก) — ยาส่วนใหญ่มีฤทธิ์กดประสาท (ง่วง) และมีฤทธิ์ต้านอะเซทิลโคลิน (anticholinergic) สูง
  2. Second-generation (รุ่นสอง) — พัฒนามาเพื่อลดอาการง่วง ลดการผ่าน BBB (blood–brain barrier) ทำให้สามารถใช้ได้ต่อเนื่องและปลอดภัยกว่าในการขับขี่/ทำงาน
  3. Third-generation (นิยามไม่เป็นเอกภาพทางการแพทย์) — มักหมายถึง enantiomers หรือ active metabolites ของยารุ่นก่อน หรือยารุ่นใหม่ที่มีความจำเพาะและโปรไฟล์ผลข้างเคียงดีกว่า (เช่น levocetirizine, desloratadine บางกรณีจัดเป็นเจน 3)

ข้อสำคัญ: คำว่า “เจน 3” ไม่ได้มีนิยามเป็นสากล — ใช้ในเชิงการตลาด/คลินิกมากกว่า


First-generation (รุ่นแรก)

คุณสมบัติทั่วไป

  • ข้าม BBB ได้ดี → ทำให้ง่วงซึมและกด CNS
  • มีฤทธิ์ anticholinergic (ปากแห้ง ตาพร่ามัว ท้องผูก ปัสสาวะคั่ง)
  • ระยะออกฤทธิ์สั้นกว่า (ส่วนใหญ่ 4–6 ชั่วโมง)
  • ราคาไม่สูง ถูกใช้มานาน

ตัวอย่างยาและการใช้งาน

ข้อดี/ข้อเสีย

  • ข้อดี: ออกฤทธิ์เร็ว มีประสิทธิภาพบรรเทาอาการเฉียบพลัน, มีหลายรูปแบบ
  • ข้อเสีย: ง่วงมาก ทำให้ใช้ขับขี่/ปฏิบัติงานเสี่ยงได้, ผลข้างเคียง anticholinergic, ไม่แนะนำใช้ระยะยาวโดยไม่ปรึกษาแพทย์

Second-generation (รุ่นสอง)

ปรัชญาการพัฒนา: ลดการผ่าน BBB และลดอาการง่วง พร้อมให้ฤทธิ์ยาวนานขึ้น เพื่อใช้รักษาอาการภูมิแพ้เรื้อรัง

ตัวอย่างยาเด่น ๆ

คุณสมบัติทั่วไป

  • ไม่ค่อยง่วงหรือน้อยกว่า first-gen
  • ออกฤทธิ์ยาวขึ้น (ให้ครั้งต่อวันได้ในหลายตัว)
  • ผลข้างเคียง anticholinergic ต่ำ
  • เหมาะสำหรับการใช้ระยะยาวรักษา allergic rhinitis / chronic urticaria

ข้อสังเกต

  • บางตัวเช่น cetirizine ยังคงทำให้บางคนง่วงได้มากกว่าตัวอื่น
  • fexofenadine อาจถูกลดการดูดซึมหากกินพร้อมน้ำผลไม้ (เช่น แอปเปิ้ล ส้ม) และอาจถูกลดการดูดซึมโดยยาที่มีไอออน (antacid ที่มี Al/Mg)

Third-generation (การนิยามและตัวอย่าง)

แนวคิด: เป็นการเพิ่มความจำเพาะ (specificity) / ลดผลข้างเคียงให้มากขึ้น โดย:

  • เป็น active metabolite (เช่น desloratadine คือ active metabolite ของ loratadine)
  • เป็น enantiomer (เช่น levocetirizine คือ R-enantiomer ของ cetirizine)
  • หรือพัฒนายาที่มีกลไกร่วม (เช่น rupatadine มีฤทธิ์ต้าน PAF ด้วย)

ประโยชน์: มักมีโปรไฟล์ปลอดภัยดีขึ้น และบางตัวถูกตลาดเรียกว่า “เจน 3” เพื่อการตลาด แต่ในทางการแพทย์ให้ดูคุณสมบัติและข้อมูลเภสัชวิทยาเป็นหลัก


3. กลไกการออกฤทธิ์ของยาแก้แพ้

กลไกหลักของยาแก้แพ้ คือ การยับยั้งการจับของฮีสตามีนกับตัวรับ (Histamine receptor)

  • เมื่อร่างกายเจอสารก่อภูมิแพ้ → เซลล์ Mast cell จะปล่อยฮีสตามีน
  • ฮีสตามีนจับกับตัวรับ H1 ที่ผิวเซลล์ → เกิดอาการคัน บวม น้ำมูกไหล
  • ยาแก้แพ้จะเข้าไปแย่งจับตัวรับแทนฮีสตามีน → ป้องกันการกระตุ้นอาการแพ้

นอกจากนี้ยาแก้แพ้ยังมีฤทธิ์รอง เช่น ลดการอักเสบเล็กน้อย และบางชนิดมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้ง่วงนอนได้


4. การใช้ยาแก้แพ้ในทางการแพทย์

ยาแก้แพ้ถูกนำมาใช้ในหลายโรค เช่น

  • โรคภูมิแพ้อากาศ (Allergic rhinitis)
  • ลมพิษ (Urticaria)
  • ผื่นแพ้ยา หรือผื่นคัน
  • แพ้แมลงสัตว์กัดต่อย
  • อาการแพ้ตา (Allergic conjunctivitis)
  • ใช้ร่วมในการรักษาภูมิแพ้เรื้อรัง
  • ยาบางชนิดใช้รักษาอาการนอนไม่หลับ (เช่น Hydroxyzine, Diphenhydramine)

5. อาการข้างเคียงจากยาแก้แพ้

ผลข้างเคียงขึ้นกับชนิดของยา

  • รุ่นเก่า → ง่วงซึม ปากแห้ง ตาพร่ามัว ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก ความดันต่ำ
  • รุ่นใหม่ → มักไม่ค่อยง่วง แต่บางรายอาจมีปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น

6. ยาแก้แพ้รุ่นเก่า vs รุ่นใหม่

คุณสมบัติรุ่นเก่ารุ่นใหม่
ง่วงซึมสูงต่ำ
ออกฤทธิ์นานสั้น (4–6 ชม.)ยาว (12–24 ชม.)
ราคาถูกแพงกว่า
การใช้ระยะยาวไม่แนะนำปลอดภัยกว่า

7. ยาแก้แพ้กับโรคประจำตัวและกลุ่มเสี่ยง

  • ผู้ป่วยโรคตับและไต ควรระวังการใช้
  • ผู้ป่วยโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์
  • สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ควรใช้เท่าที่จำเป็น

8. ยาแก้แพ้กับการใช้ในเด็กและผู้สูงอายุ

  • เด็กเล็ก → หลีกเลี่ยงรุ่นเก่า เพราะเสี่ยงกดประสาทและก่ออาการ paradoxical excitation (ตื่นตัวแทนที่จะง่วง)
  • ผู้สูงอายุ → เสี่ยงล้มง่ายเพราะง่วงซึม และอาจเกิดภาวะสับสน

9. ยาแก้แพ้กินทุกวันอันตรายไหม

คำตอบคือ ขึ้นกับชนิดของยาและสาเหตุที่กิน

  • หากเป็น ยาแก้แพ้รุ่นเก่า → ไม่ควรกินทุกวัน เพราะเสี่ยงสะสม เกิดผลข้างเคียง เช่น ความจำเสื่อม ง่วงมาก กดประสาทส่วนกลาง
  • หากเป็น ยาแก้แพ้รุ่นใหม่ → โดยทั่วไปสามารถใช้ได้ทุกวันตามแพทย์สั่งในโรคภูมิแพ้เรื้อรัง แต่ยังต้องระวังผลต่อการทำงานของตับและไต

10. แนวทางการใช้ยาแก้แพ้อย่างปลอดภัย

  1. ใช้ตามอาการที่จำเป็น
  2. เลือกใช้ยารุ่นใหม่หากต้องใช้ต่อเนื่อง
  3. ปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัว
  4. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับยาแก้แพ้รุ่นเก่า
  5. ไม่ควรขับรถหรือใช้เครื่องจักรหากมีอาการง่วง
  • ถ้ามี ภูมิแพ้เรื้อรัง → พิจารณาใช้ second-generation เป็นตัวแรก
  • ต้องการ บรรเทาอาการเฉียบพลัน เช่น ผื่นหรือคันรุนแรง → อาจใช้ first-generation ชั่วคราว แต่ระวังง่วงและอย่าใช้ระยะยาว
  • ขับรถ/งานที่ต้องตื่นตัว → หลีกเลี่ยง first-generation และระวัง cetirizine บางคนอาจง่วงได้
  • เด็ก/ผู้สูงอายุ/ตั้งครรภ์ → ขอคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเสมอ

11. ทางเลือกอื่นนอกจากยาแก้แพ้

  • การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้
  • การใช้สเปรย์พ่นจมูกสเตียรอยด์ (Intranasal corticosteroids)
  • การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
  • การทำ Immunotherapy (ฉีดหรืออมใต้ลิ้นเพื่อลดการแพ้ในระยะยาว)

12. ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาแก้แพ้

  • “ยาแก้แพ้กินทุกวันแล้วตับพัง” → จริงแค่บางชนิดและในคนที่มีโรคตับ
  • “ยาแก้แพ้ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้” → ไม่ใช่ ยาแก้แพ้เพียงบรรเทาอาการ แต่ไม่รักษาที่ต้นเหตุ
  • “กินยาแก้แพ้แล้วไม่แพ้อีกเลย” → ไม่ถูกต้อง เพราะภูมิแพ้ยังคงอยู่

13. สรุป: ยาแก้แพ้คืออะไร กินทุกวันอันตรายไหม

ยาแก้แพ้คือยาที่ใช้บรรเทาอาการจากการปลดปล่อยฮีสตามีน โดยมีกลไกการยับยั้งการจับกับตัวรับ H1 เป็นหลัก แม้จะเป็นยาที่ใช้กันแพร่หลายและมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่การกินทุกวันโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ โดยเฉพาะยารุ่นเก่า อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ หากจำเป็นต้องใช้ทุกวัน ควรเลือก ยาแก้แพ้รุ่นใหม่ และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เสมอ เพื่อให้การรักษาได้ผลและปลอดภัย

Antihistamines เป็นกลุ่มยาสำคัญในการจัดการอาการแพ้ แต่ไม่ใช่ยาที่ “รักษาเหตุ” ของภูมิแพ้โดยตรง การเลือกใช้ควรพิจารณา ชนิด (เจนเนอเรชัน) ของยา ความจำเพาะของผู้ป่วย (เด็ก ผู้สูงอายุ ตั้งครรภ์ โรคไต/ตับ) และความต้องการด้านกิจกรรมประจำวัน (เช่น ขับรถ) โดยทั่วไป second-generation เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้ระยะยาวเนื่องจากมีผลข้างเคียงทางประสาทและ anticholinergic น้อยกว่า แต่อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นต้องใช้ประจำหรือมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกยาและปรับขนาดยาที่เหมาะสม รวมถึงพิจารณาวิธีการรักษาเสริมอื่น ๆ (intranasal steroid, immunotherapy, biologics) ตามความเหมาะสม

หากมีความสงสัยเกี่ยวกับอาการที่เป็นอยู่ สามารถปรึกษาเภสัชกรได้โดยตรงพร้อมสั่งยารักษา โดยแอดไลน์ @733khpqc หรือ Scan QR CODE โดยกดลิงค์ที่ข้อความนี้ได้เลยค่ะ