การเก็บอาหารค้างคืนเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในแทบทุกครัวเรือน โดยเฉพาะบ้านที่ทำอาหารครั้งละมากๆ หรือครอบครัวที่ชอบทานข้าวนอกบ้านแล้วนำกลับมากินต่อ หลายคนอาจมองว่าอาหารที่ค้างคืน หากยังดูไม่เสีย ไม่มีกลิ่นผิดปกติ หรืออุ่นให้ร้อนจัดแล้ว ย่อม “ปลอดภัย” ต่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริง เรื่องนี้มีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด เพราะอาหารค้างคืนอาจเกิดการปนเปื้อนจากเชื้อโรคที่มองไม่เห็น อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดสารพิษบางชนิดที่ทนความร้อนได้ แม้จะอุ่นซ้ำอย่างดีแล้วก็ตาม
เมื่อพิจารณาจากงานวิจัยด้านความปลอดภัยอาหารของหลายประเทศ รวมถึงคำแนะนำจาก WHO และกรมอนามัยของไทย จะพบว่าอาหารค้างคืนที่เก็บไม่ถูกวิธี หรือปล่อยทิ้งไว้นานเกินควร อาจทำให้เกิดการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อโรค เช่น Salmonella, Staphylococcus aureus, E.coli, Bacillus cereus รวมถึงเชื้อรา ผลที่เกิดขึ้นอาจตั้งแต่ท้องเสียเล็กน้อย ไปจนถึงอาหารเป็นพิษรุนแรง ซึ่งบางรายอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
บทความนี้จะพาผู้อ่าน “เจาะลึก” อันตรายของอาหารค้างคืน ลักษณะอาหารที่เสี่ยงสูง วิธีเก็บที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการและความปลอดภัยอาหาร รวมถึงข้อเท็จจริงที่หลายคนยังเข้าใจผิด เพื่อให้สามารถประเมินและตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่า “ควรกินต่อหรือควรทิ้ง” เพื่อปกป้องสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัวอย่างแท้จริง
⭐ อาหารค้างคืนอันตรายอย่างไร? ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าอาหารจะไม่มีกลิ่นผิดปกติ แต่ภายในอาหารอาจมีเชื้อโรคที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ถูกเก็บไว้ โดยเฉพาะถ้าถูกทิ้งที่อุณหภูมิห้องนานเกิน 2 ชั่วโมง เชื้อจุลินทรีย์หลายชนิดสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดอันตรายดังนี้
➤ การปนเปื้อนและเพิ่มจำนวนของเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อหลายชนิดเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 5–60°C ซึ่งเรียกว่า “เขตอันตราย (Danger Zone)” หากอาหารถูกทิ้งในอุณหภูมินี้นานเกินไป จะเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อน เช่น
- Salmonella – พบในอาหารสุกไม่ทั่วถึง อาหารที่สัมผัสสัตว์ปีก ไข่ นม
- E. coli – มักพบในอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระ เช่น ผักสด เนื้อบด
- Staphylococcus aureus – สามารถสร้างสารพิษที่ทนความร้อน อุ่นซ้ำก็ไม่ตาย
- Bacillus cereus – พบในข้าวค้างคืน บะหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว
- Listeria monocytogenes – เชื้อที่อยู่ในตู้เย็นได้และเติบโตแม้อุณหภูมิต่ำ
อาหารสุกที่ปล่อยไว้ในอุณหภูมิห้องเกิน 2 ชั่วโมง หรืออยู่ในสภาพอุ่นนานเกินไป จะทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนระดับที่อาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้
➤ สารพิษจากแบคทีเรียที่ “ไม่หายไป” แม้อุ่นซ้ำ
บางเชื้อสร้างสารพิษ (Toxin) ที่ทนความร้อน เช่น
- สารพิษของ Staphylococcus aureus
- สารพิษของ Bacillus cereus ที่พบมากในข้าวค้างคืน
แม้จะอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟหรือเตาแก๊สจนเดือด ก็ไม่สามารถทำลายสารพิษบางชนิดได้
ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น เช่น
- อาเจียนเฉียบพลัน
- ปวดท้องเป็นเกร็ง
- ท้องเสีย
- คลื่นไส้อย่างรุนแรง
อาการเหล่านี้มักเกิดภายใน 1–6 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร
➤ เชื้อราจากอาหารค้างคืน
อาหารที่ถูกเก็บผิดวิธีจะเกิดเชื้อราได้ง่าย โดยเฉพาะอาหารที่มีความชื้นสูง เช่น แกง ผักต้ม เนื้อสัตว์ หรืออาหารทอดที่เยิ้ม เชื้อราบางชนิดสร้างสาร อะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งมีฤทธิ์ก่อมะเร็งตับ
ถึงแม้จะมองไม่เห็นเชื้อรา แต่เส้นใยของมันอาจแทรกอยู่ในเนื้ออาหารแล้ว
➤ การเปลี่ยนแปลงทางโภชนาการ
อาหารค้างคืนอาจทำให้สารอาหารบางอย่างลดลง เช่น
- วิตามิน, แร่ธาตุเสื่อมสภาพ
- ไขมันเกิดออกซิเดชัน
- โปรตีนเสื่อม ทำให้ย่อยยาก
โดยเฉพาะอาหารที่มีผัก เช่น ต้มจับฉ่าย แกงจืด ผักผัด จะสูญเสียวิตามินจำนวนมากเมื่อถูกทิ้งค้างคืน

⭐ อาหารประเภทไหนที่เสี่ยงเมื่อเก็บค้างคืนมากที่สุด
อาหารบางชนิดมีความเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อนและการเติบโตของเชื้อ เมื่อเก็บค้างคืน แม้จะอยู่ในตู้เย็นก็ตาม ดังนี้
➤ อาหารที่มีแป้ง เช่น ข้าวสวย ข้าวผัด เส้นก๋วยเตี๋ยว บะหมี่
เป็นแหล่งสะสมเชื้อ Bacillus cereus โดยเฉพาะ “ข้าวค้างคืน” ที่ถูกทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องก่อนนำเข้าตู้เย็น
หากเชื้อมีจำนวนมากแล้ว การอุ่นซ้ำจะไม่ทำลายสารพิษ
➤ อาหารที่มีไข่และนมเป็นส่วนประกอบ
เช่น ครีมซอส ไข่เจียว ไข่ตุ๋น ขนมที่มีครีม
เป็นอาหารที่เชื้อ Salmonella และ Staphylococcus ชอบเติบโตมากเป็นพิเศษ
➤ แกงไทยและอาหารที่มีน้ำเยอะ
ตัวอย่าง เช่น
- แกงเขียวหวาน
- ต้มยำ
- แกงจืด
- แกงพะโล้
น้ำแกงที่ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องจะกลายเป็นบ่อเพาะเชื้ออย่างดี
➤ อาหารทอดที่มีน้ำมัน
แม้จะดูเหมือนเก็บได้นาน แต่ไขมันเกิดออกซิเดชันง่าย ทำให้มีกลิ่นเหม็นหืน สร้างสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย
➤ อาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ หมู ไก่ ปลา
เนื้อสัตว์มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดเชื้อก่อโรคและบูด การแช่ตู้เย็นไม่ใช่การฆ่าเชื้อ แต่เป็นเพียงการชะลอการเจริญเติบโตเท่านั้น
⭐ เทคนิคเก็บอาหารค้างคืนให้ปลอดภัยที่สุด
แม้ว่าอาหารค้างคืนมีความเสี่ยง แต่หากจำเป็นต้องเก็บไว้กินต่อ สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยขั้นตอนเหล่านี้
➤ 1) ลดอุณหภูมิอาหารให้เร็วที่สุด
อย่าปล่อยอาหารทิ้งไว้นาน ควรทำดังนี้
- อาหารร้อนควรปล่อยให้คลายร้อนเพียง ไม่เกิน 30–45 นาที
- แบ่งใส่กล่องตื้นๆ เพื่อให้อาหารเย็นเร็ว
- จากนั้นนำเข้าตู้เย็นทันที
พยายามอย่าให้ผ่าน “ช่วงอันตราย 5–60°C” นานเกิน 2 ชั่วโมง
➤ 2) เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิต่ำกว่า 4°C
อุณหภูมิที่ปลอดภัยที่สุดคือ
- ตู้เย็นชั้นบน: 0–4°C
- ช่องแช่แข็ง: ต่ำกว่า –18°C
แม้เชื้อบางชนิดจะยังมีชีวิต แต่จะเติบโตช้าลงมาก
➤ 3) ใช้ภาชนะปิดสนิท
ช่วยป้องกันการปนเปื้อนจากเชื้อราและแบคทีเรียในอากาศ
รวมถึงลดกลิ่นปนในตู้เย็น
➤ 4) อุ่นซ้ำให้ถึง 75°C ทุกส่วน
หากต้องการกินอีกครั้ง ควรอุ่นให้ร้อนทั่วถึง ไม่ใช่แค่ผิวด้านบน
- คนอาหารระหว่างอุ่น
- หลีกเลี่ยงการอุ่นซ้ำหลายรอบ
- อาหารที่ถูกอุ่นหลายครั้งให้ทิ้ง ไม่ควรเก็บต่อ
➤ 5) จำกัดระยะเวลาการเก็บ
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารระบุว่า
- อาหารสุกเก็บในตู้เย็น: ไม่ควรเกิน 48 ชั่วโมง
- อาหารทะเล: ไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมง
- ข้าวสุก: ไม่เกิน 24 ชั่วโมง
- อาหารกะทิ: ไม่ควรเกิน 1 คืน
➤ 6) สังเกตสภาพอาหารก่อนรับประทาน
หากพบสัญญาณต่อไปนี้ควรทิ้งทันที
- มีกลิ่นเปรี้ยว
- ผิวอาหารลื่น
- มีฟองหรือเน่า
- สีเปลี่ยนเป็นหม่น
- มันลอยบนผิวผิดปกติ
- รสชาติแปลกหรือเฝื่อน
ไม่ควรเสียดายอาหารจนเสี่ยงสุขภาพ
✦ สรุป: อาหารเหลือค้างคืน…กินได้ แต่ต้องระวังอย่างยิ่ง
อาหารค้างคืน “ไม่ได้อันตรายเสมอไป” แต่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคมากกว่าที่คิด หากเก็บไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะอาหารประเภทข้าว แกง นม ไข่ เส้นก๋วยเตี๋ยว และอาหารที่มีความชื้นสูง
หลักการง่ายๆ เพื่อป้องกันอันตรายคือ
- อย่าปล่อยอาหารไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง
- เก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิต่ำ
- อุ่นซ้ำให้ร้อนทั่วถึง
- จำกัดเวลาการเก็บ
- ทิ้งอาหารที่สงสัยว่าเริ่มเสีย
ถ้าไม่แน่ใจ “ดมแล้วแปลก ใส่ใจสุขภาพ — ให้ทิ้ง” ดีกว่าเสี่ยงอาหารเป็นพิษที่อาจรุนแรง
หากมีความสงสัยเกี่ยวกับอาการที่เป็นอยู่ สามารถปรึกษาเภสัชกรได้โดยตรงพร้อมสั่งยารักษา โดยแอดไลน์ @733khpqc หรือ Scan QR CODE โดยกดลิงค์ที่ข้อความนี้ได้เลยค่ะ